เว็บไซต์ HK01 รายงานว่า หญิงสาววัย 36 ปี ได้โพสต์เล่าประสบการณ์ชีวิตลงชุมชนออนไลน Reddit เผยว่า เธอและสามีวัย 35 ปี รักกันมา 10 ปี และแต่งงานกันเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ทั้งคู่พยายามมีลูกด้วยกันมา 4 ปี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาแพทย์วินิจฉัยว่าเธออาจจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ แม้เธอจะเข้าผ่าตัดเพื่อปรับปรุงภาวะเจริญพันธุ์ แต่เกิดภาวะแทรกซ้อนจนเธอต้องตัดมดลูกออก
เนื่องจากเธอและสามีได้มีการฝากไข่และฝากสเปิร์มไว้ ทั้งคู่จึงตัดสินใจใช้วิธีการอุ้มบุญหรือตั้งครรภ์แทน แต่เมื่อพบว่าค่าใช้จ่ายสูงมาก เธอจึงไปขอให้เพื่อนสนิทซึ่งมีลูกแล้ว 2 คน มาเป็นแม่อุ้มบุญให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็เต็มใจจะตั้งครรภ์แทน
จากนั้นก็เริ่มต้นกระบวนการทําเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF โดยการปฏิสนธินอกร่างกาย 2 ครั้งแรกล้มเหลว กระทั่งครั้งที่ 3 เธอก็ได้ทราบข่าวดีว่าประสบผลสำเร็จ และเธอได้ลูกชายในที่สุด เธอรู้สึกดีใจมากเมื่อความปรารถนาของเธอกลายเป็นจริง
หลังจากลูกชายลืมตาดูโลก เธอใช้เวลาลาเพียง 4 สัปดาห์ ก็กลับไปทำงาน นอกจากงานประจำแล้วก็ยังมีพาร์ตไทม์ 2 งาน เพื่อพาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลก้อนใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานเธอก็พบว่าเพื่อนสนิทของเธอปรากฏตัวบ่อยครั้งที่บ้าน ในทีแรกเธอคิดว่าเพื่อนสนิทมีน้ำใจมาช่วยดูแลลูกชายของเธอ
ผ่านไป 2 ปี เธอพบว่าดวงตาของลูกชายมีสีน้ำตาล ในขณะที่เธอและสามีตาสีฟ้าทั้งคู่ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ในตอนแรกเธอคิดเป็นปัญหาทางพันธุกรรมที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทน
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เธอได้พาลูกชายไปตรวจเมตาบอลิซึมและตรวจเลือด แพทย์พบว่าลูกชายของเธอมีกรุ๊ปเลือด B+ ทั้งที่เธอมีกรุ๊ปเลือด A+ และสามีเธอเป็น O+
จากนั้นเธอได้พาลูกชายของเธอไปตรวจ DNA และพบว่าเธอไม่ใช่มารดาโดยสายเลือดของลูกชาย แต่สามีของเธอยังคงเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของเขา
ผลที่ตามมาทำให้เธอใจสลาย และคิดว่ามีข้อผิดพลาดทางการแพทย์ และพยายามหาทนายความเพื่อยื่นฟ้องร้องกับคลินิกที่ทำเด็กหลอดแก้วให้
หลังจากไปซักถามทางสามี ในที่สุดเขาก็ยอมรับสารภาพว่า หลังจากล้มเหลวการทำเด็กหลอดแก้วครั้งที่ 2 เขาแอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนของเธอหลายครั้ง นั่นหมายความว่าลูกชายที่เธอเข้าใจว่าเกิดจากการกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่จริงแล้วเกิดจากวิธีการทางธรรมชาติ
“กลายเป็นว่าไม่มีอะไรเป็นของฉันเลย ทั้งลูกชาย และสามี หรือแม้กระทั่งเพื่อนสนิท”
หญิงรายนี้เผยว่า หลังจากรู้ความจริง เธอตัดสินใจออกมาจากบ้านหลังนั้นด้วยตัวคนเดียว ก่อนจะไปพักอาศัยที่โรงแรมนานกว่าสัปดาห์ ก่อนจะกลับไปอยู๋บ้านของพ่อแม่ และกำลังดำเนินการฟ้องหย่า รวมทั้งตัดขาดความสัมพันธ์กับเพื่อนคนนี้แล้ว
เมื่อเธอได้พบกับทนายความ เธอถูกถามว่าเธอสละสิทธิ์ตามกฎหมายที่เธอมีกับลูกชายหรือไม่ หากเธอยอมสละ เธอก็ไม่ต้องแบกรับปัญหาค่าเลี้ยงดูบุตรอีกต่อไป
แม้สามีและเพื่อนสนิมของเธอจะยอมรับความผิดพลาดและขอโทษ แต่ก็กล่าวหาว่าเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะและทิ้งลูกชายอย่างไร้ความปราณี
ขณะที่พ่อแม่ของเธอแนะนำว่าอย่าละทิ้งลูกชายของเธอ เพราะเธอและอดีตสามีต้องผ่านความยากลำบากมากมาย และค่ารักษาพยาบาลก้อนโต เพื่อที่จะให้กำเนิดลูกชายคนนี้ พวกท่านเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเริ่มต้นครอบครัวไม่ใช่ความผูกพันทางสายเลือด
หญิงสาวเชื่อว่าพ่อแม่ของเธอคิดว่าที่เธอตั้งใจที่จะหย่าร้าง เพราะเธอไม่พอใจกับการนอกใจของสามี แต่สิ่งที่ทำให้ใจเธอแตกสลายจริง ๆ ก็คือเธอถูกทรยศต่อทุกสิ่งรอบตัว
เมื่อเห็นลูกชาย เธอก็คิดแต่ว่านั่นคือลูกชายของเพื่อนสนิทของเธอ เธอจึงมีความคิดว่าอยากจะรับเลี้ยงเด็กกับคนรักของเธอในอนาคต และวางแผนที่จะย้ายไปอยู่รัฐอื่นและเริ่มต้นชีวิตใหม่
ทั้งนี้ คาดว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งชาวเน็ตสนับสนุนการหย่าร้างของผู้โพสต์ รวมถึงสละสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก “สามีควรรับผิดชอบในการนอกใจ” และ “คุณสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้”
ชาวเน็ตหลายคนถามว่า ได้มีการเซ็นสัญญาตั้งครรภ์แทนหรือไม่ หากมีสัญญาให้ลองพิจารณาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเพื่อนสนิทของเธอ หรือแม้แต่ฟ้องร้องเรื่องการฉ้อโกง ขณะที่บางส่วนก็วิพากษ์วิจารณ์พ่อแม่ของผู้โพสต์ที่ไม่คำนึงถึงความสุขของลูกสาวเลย