อ.ปานเทพ ข้อสังเกต “แตงโม” อาจเปลี่ยนเรือ? แย้มมีชายปริศนาโผล่ ซ้ำยังพบพิรุธหลายอย่าง
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นไม่ใช่มีเหตุอื่นใด แต่เพราะคำพิพากษาศาลอาญา ลงวันที่ 31 ต.ค.2567 ระหว่าง พนักงานอัยการ กับนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ สืบเนื่องจากตำรวจ 21 คนฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทและศาลยกฟ้อง ทำให้ในฐานะสื่อต้องมาสนใจ ในเนื้หาแห่งคดีนี้ สาเหตุที่ศาลพิพากษา ไม่ได้ระบุว่ามีการฆาตกรรม เพียงแต่ระบุว่าอัจฉริยะและพวก วิพากษ์วิจารณ์สุจริต เพราะมีเหตุอันควร
นายปานเทพ กล่าวว่า วันนี้จะเน้นเรื่องความผิดปกติของบาดแผล และเรื่องนิติเวชเป็นหลัก นอกจากตนเองได้พูดคุย พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ยังได้พูดคุยกับแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ พบมีความผิดปกติที่มีสาระสำคัญ ของความผิดปกติบาดแผล ที่ยังไม่สามารถพูดตอนนี้ได้
นอกจากนี้ นายปานเทพ ยังได้เปิดภาพส่วนประกอบเรือยนต์ เพื่อชี้ให้เห็นองค์ประกอบในใบพัด พร้อมระบุว่า เรือลำที่เกิดเหตุมีใบพัดเดียว ไม่ใช่ใบพัดคู่ และสิ่งที่สำคัญคือชนิดของใบพัดด้วย ซึ่งหมายถึงใน 1 วงรอบของใบพัดที่หมุน บอกได้ว่าเรือแล่นไปได้กี่นิ้ว ข้อมูลเหล่านี้จะพิสูจน์ได้ว่าบาดแผลแตงโมเกิดขึ้นจากใบพัดหรือไม่
นายปานเทพ บอกว่า การแถลงครั้งนี้ มองว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นกับดาราสาว ไม่สอดคล้องกับคำให้การ และยังบาดแผลอีกจุดหนึ่งบริเวณหน้าขาด้านขวา เป็นรอยกรีดยาวลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ ที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าเป็นของมีคม เรียบ หากเป็นใบพัดจริง ขาซ้ายจะต้องมีบาดแผลด้วย พร้อมบอกอีกว่าบาดแผลแตงโมย้อนแย้ง ทั้งบาดแผลแนวยาว และบาดแผลซ้ายขวา ที่ยังไม่สอดคล้องกับใบพัด
นอกจากนี้ยังพบพิรุธ วันที่ตำรวจภูธรภาค1 แถลงข่าว มีการโชว์ภาพพลาด เป็นภาพบาดแผลกรีดขาจากต่างประเทศ ที่นำมาอ้างอิง ว่าถูกใบพัดเรือฟันขาเหมือนแผลของแตงโม จนชาวเน็ตจับพิรุธและต้องออกมาขอโทษประชาชนที่นำเสนอข้อมูลกำกวม และคดีแตงโม
อีกทั้งยังจับข้อพิรุธได้จำนวนมาก ทั้งการพบศพในทิศทวนน้ำ พบคราบดิน เศษสิ่งสกปรกเข้าไปในร่างกายของแตงโม โดยเมื่อวิเคราะห์จากตำแหน่งน้ำลึกในแม่น้ำเจ้าพระยา มันดูไม่สอดคล้องกัน แตงโมอาจจะเสียชีวิตในที่อื่น และยังมีการตั้งข้อสังเกตเรื่องการปัสสาวะท้ายเรือของแตงโมที่เป็นไปไม่ได้ เพราะท้ายเรือจมน้ำในขณะแล่น ที่ความเร็ว 8 นอต
นอกจากเรื่องการปัสสาวะที่ไม่น่าเป็นไปได้แล้ว นายปานเทพ กล่าวว่า ต้องมีการหาข้อสมมติฐานว่าเกิดอะไรขึ้น หากไม่ได้ตกท้ายเรือไม่ได้ปัสสาวะ และแผลที่เกิดขึ้นเหล่านั้น อาจไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือ ซึ่งพบว่ายังมีความผิดปกติหลายอย่าง ทั้งภาพที่ถ่ายคู่กับคนในเรือ ที่คลื่นน้ำขัดแย้งกัน เรื่องของเวลาภาพถ่ายต่างๆ ด้วย
จากคำให้การเบิกความในคดีนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลกล้องวงจรปิด และดูกล้องทั้งหมด ไม่มีการยืนยันว่ามีคลิปใด แสดงให้เห็นว่าแตงโมตกน้ำ ที่ขัดจากการแถลงข่าว ที่เป็นคาดว่าและเชื่อว่าทั้งสิ้น
นายปานเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทำให้เห็นว่าจากกรณีศพทวนน้ำ บาดแผลไม่ตรงกับใบพัด โดยการตั้งข้อสงสัยจากหมอธวัชชัย ว่าจุดที่สงสัยภาพไม่มีแตงโม ตั้งแต่ 20:36 น. เป็นต้นไป จะเป็นไปได้หรือไม่ ว่าแตงโมย้ายเรือไปอีกลำหนึ่ง หลัง 20:36 ไปอีกเรือลำหนึ่ง
และยังมีพิรุธอีกหลายประเด็น ที่ยังไม่ได้แถลงในวันนี้ เพียงแต่ที่มาแถลงในวันนี้เพียงต้องการจะบอกว่าหลังจากได้พูดคุยกับหมอธวัชชัยหลายครั้ง รวมถึงพูดคุยกับหมอพรทิพย์ พบแผลสำคัญที่เกิดความผิดปกติในคดีนี้ แต่ยังไม่ได้บอกตอนนี้ว่าเกิดขึ้นจากอะไร แต่ยังค้างคาในใจ จนกว่าจะขึ้นศาล มิฉะนั้นอาจจะถูกทำลายพยานหลักฐาน ซึ่งตนได้เห็นแล้วอาจจะมีพิรุธและเงื่อนงำจริง บวกกับคำให้การที่เกิดขึ้นกับคำพิพากษาฉบับนี้ หากถอดรหัสละเอียดแล้วเข้าใจว่าทำไมนายอัจฉริยะถึงชนะคดีหมิ่นประมาท ทั้งที่ตำรวจรุมฟ้องอัจฉริยะ เหตุเมื่อถึงจุดที่ต้องเชิญหมอนิติเวชมา แต่หมอนิติเวชไม่มาให้การ ทำให้ศาลยกฟ้อง
นายปานเทพ กล่าวว่า จากพยานหลักฐานในคดีนี้ หมอธวัชชัยก็ถูกตัดออกจากพยานคดีหลักเมื่อ ส.ค.ที่ผ่านมา ก่อนขึ้นให้การต่อศาล 5 วันเท่านั้น จึงมีพิรุธไปใหญ่ ว่าทำไมถึงตัดพยานสำคัญที่ชนะในคดีสำคัญ แล้วใครจะนำเสนอหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์, GPS ที่หมอจะอธิบายความเป็นไปของเรื่องที่เกิดขึ้น
โดยที่แถลงข่าวในวันนี้หลังจากได้เห็นความจริงจากผู้ให้ข้อมูลแล้ว เรายังไม่ปิดข้อมูลหากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะให้ข้อมูลกับเรา ถูกนำเสนอจากฝ่าย ที่เห็นว่ามีความผิดปกติในกระบวนการหรือไม่ จึงทำให้นายอัจฉริยะชนะคดีนี้ทางเรา จึงสนับสนุน ให้อัยการสูงสุด ผู้มีอำนาจชี้ขาด เป็นผู้ตัดสินใจเพื่อที่จะรื้อฟื้นคดี เพราะพยานและหลักฐานที่ถูกเรียกในตอนนี้ ไม่สอดคล้องกับคดีนายอัจฉริยะชนะคดีหมิ่นประมาทไป และถูกตัดออกด้วย
อีกทั้งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแม่ของแตงโม เพราะว่าเกิดการทำร้ายผู้อื่นเสียชีวิต หรืออาจมีการทรมานด้วย เป็นคดีอาญาแผ่นดิน เพราะฉะนั้นก็หวังว่าอัยการสูงสุดจะทำให้เกิดความหวัง และความชัดเจนในคดีนี้ว่าคดีนี้สมควรแก่เหตุในการถูกรื้อฟื้นคดีหรือไม่ หวังว่าอัยการสูงสุดจะพิจารณาคำร้องของนายอัจฉริยะ ซึ่งเป็นผู้ชนะคดีนี้ ซึ่งไม่ถูกนำเสนอคดีหลักเข้าสู่การทบทวนแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป
นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า การออกมาแสดงความคิดเห็นของตนเองเป็นเพียง ความเห็นส่วนตัว เพราะคดีใดที่เป็นอาญาแผ่นดินไม่มีใครเป็นเจ้าของ ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ และคนที่วิพากษ์วิจารณ์บางคนก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคดีนี้เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องการแสวงหาความยุติธรรมที่แท้จริง และต้องการทำให้เห็นว่าคดีที่สังคมให้ความสนใจ ต้องได้รับการใส่ใจจากสื่อมวลชนและประชาชน ควรต้องมี ความโปร่งใสการตรวจสอบในทุกขั้นตอน